สถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน ( ซีซีทีวี ) เผยแพร่แถลงการณ์ของคณะกรรมาธิการกลางแห่งพรรคคอมมิวนิสต์ ร่วมกับสภารัฐกิจ ซึ่งก็คือคณะรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง มีเนื้อหาสำคัญว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป รัฐบาลปักกิ่งจะไม่รับการจดทะเบียนสถาบันการศึกษานอกระบบ หรือโรงเรียนกวดวิชาอีก
ขณะที่โรงเรียนกวดวิชาซึ่งผ่านการขึ้นทะเบียนแล้วทั้งหมด ต้องยื่นเอกสารขอจดทะเบียนใหม่เป็น “องค์กรไม่แสวงผลกำไร” แม้ยังดำเนินกิจการได้ตามปกติ แต่จะไม่สามารถจัดการเรียนการสอนในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ วันหยุดนักขัตฤกษ์ และในช่วงปิดภาคเรียนได้อีก
รายงานของซีซีทีวีระบุด้วยว่า มาตรการดังกล่าวเป็นการเพิ่มการให้ความสำคัญกับสุขภาพ การเติบโตให้เหมาะสมกับช่วงวัย และ “การปกป้องสิทธิในการพักผ่อนของเด็ก” นอกจากนี้ แหล่งข่าวในแวดวงการศึกษาของจีนอีกหลายคนให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่า สถาบันกวดวิชาซึ่งรัฐบาลมองว่า “เป็นธุรกิจแขนงหนึ่ง” จะไม่สามารถระดมทุนและขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของจีนได้อีก และหมายความด้วยว่า บริษัทซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของจีนจะไม่สามารถเข้าไปลงทุน หรือซื้อกิจการของโรงเรียนกวดวิชาได้เช่นกัน
ข้อมูลโดยบริษัทวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ “แอลอีเค” ของสหรัฐ ระบุว่า อุตสาหกรรมโรงเรียนกวดวิชาของจีนมีมูลค่ามากถึง 260,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อปี 2561 ( ราว 8.56 ล้านล้านบาท ) ทั้งนี้ การที่โรงเรียนกวดวิชามีค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากการศึกษาในจีนมีการแข่งขันในระดับสูง เป็นหนึ่งในเหตุผลที่คู่สมรสรุ่นหลังในจีนไม่ประสงค์มีบุตร สวนทางกับการที่รัฐบาลปักกิ่งหันมาสนับสนุนให้คู่สมรสในประเทศมีบุตรร่วมกันได้มากถึง 3 คน เพื่อหวังเพิ่มจำนวนประชากร